ซาปาร์มือรัต อาตาเยวิช นือยาซอว์ (
เติร์กเมน: Saparmyrat Ataýewiç Nyýazow,
Cyrillic: Сапармырат Атаевич Ныязов; Saparmurat Atayevich Niyazov 19 กุมภาพันธ์ 1940 – 21 ธันวาคม 2006) หรือรู้จักในนาม
เติร์กเมนบาชี (Türkmenbaşy / Түркменбашы; ผู้นำแห่งเติร์กเมนิสถาน) หรือ
แบยิกเติร์กเมนบาชี (Beýik Türkmenbaşy / Бейик Түркменбашы; ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่แห่งเติร์กเมนิสถาน) เป็นนักการเมืองชาว
เติร์กเมนผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำแห่ง
เติร์กเมนิสถานตั้งแต่ปี 1985 ถึงปี 2006 ที่ซึ่งเขาเสียชีวิต เขาเป็นเลขาธิการคนแรกของ
พรรคคอมมิวนิสต์เติร์กเมน ตั้งแต่ปี 1985 ถึงปี 1991 และมีส่วนช่วยสนับสนุนใน
ความพยายามรัฐประหารโซเวียต ปี 1991 เขาปกครองประเทศเติร์กเมนิสถานเป็นเวลาอีก 15 ปี ภายหลังเติร์กเมนสิถานได้รับเอกราชจาก
สหภาพโซเวียตในปี 1991สื่อเติร์กเมนิสถานนิยมเรียกขานเขาด้วยชื่อ "
ฯพณฯ ท่าน ซาปาร์มือรัต เติร์กเมนบาชี ประธานาธิบดีแห่งเติร์กเมนิสถาน หัวหน้า
คณะรัฐมนตรี"
[2] คำเรียกชื่อตนเองที่เขาแต่งตั้งให้ตนเอง
เติร์กเมนบาชี (Türkmenbaşy) แปลว่า ประมุขแห่งเติร์กเมน อันหมายถึงตำแหน่งของเขาในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานของ
สมาคมชาวเติร์กเมนทั้งปวงแห่งโลก[3] ในปี 1999
รัฐสภาเติร์กเมนิสถานได้ประกาศให้นือยาโซว์เป็น
ประธานาธิบดีตลอดกาลของเติร์กเมนสิถานในสมัยการปกครองของเขา เขาเป็น
เผด็จการที่
เบ็ดเสร็จและ
กดขี่ข่มเหงประชานมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาสร้าง
ลัทธิบูชาตัวเขาเองและสร้างบุคลิกที่เป็น
ความพิศดารไปทั่วประเทศ เช่น
การเปลี่ยนชื่อเดือนและสัปดาห์ในประเทศเติร์กเมนสิถานให้เป็นไปตามอัตชีวประวัติของเขา
รูห์นามา[4] เขาให้การอ่าน รูห์นามา เป็นเรื่องบังคับต้องทำในโรงเรียน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐใหม่จะต้องถูกทดสอบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ระหว่างการสัมภาษณ์งานและในข้อสอบ รวมถึงมีการสอบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ปรากฏในการสอบใบขับขี่ด้วย เมื่อปี 2005 เขาสั่งปิดห้องสมุดและโรงพยาบาลในพื้นที่ชนบททั้งหมดนอกเมืองหลวง
อาชกาบัต ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นประชากรเกินครึ่งหนึ่งของประเทศอาศัยในพื้นที่ชนบท
[5] เพื่อว่า "ถ้าใครป่วย ก็ให้เข้ามาที่อาชกาบัต"
[6] ในสมัยการปกครองของเขา เติร์กเมนสิถานมีการคาดการณ์ชีวิตต่ำที่สุดในเอเชียกลาง องค์กรสิทธิมนุษยชนจากลอนดอน
กลอบอล วิทเนสส์ รายงานว่าเงินภายใต้การควบคุมของนือยาโซว์และที่เชามีอยู่ในต่างประเทศอาจมากกเกิน 3 พันล้าน
US$3 ในจำนวนนี้ราว $1.8–$2.6 พันล้าน พบว่าถูกนำไปเก็บไว้ในกองทุนระหว่างประเทศของ
ดอยช์แบงก์ใน
ประเทศเยอรมนี[7]